หนุ่มอ้วนหนัก 170 กก. แค่หายใจยังเหนื่อย ชีวิตพลิก ปีเดียวลดน้ำหนักได้ 75 กก.

        หนุ่มอ้วนหนัก 170 กิโลกรัม แค่หายใจยังเหนื่อย ก่อนเจอจุดเปลี่ยนชีวิตพลิก ปีเดียวลดน้ำหนักได้ 75 กิโลกรัม ทำด้วยวิธีไหน
         วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 เว็บไซต์ Sohu เผยเรื่องราวของชายชาวเวียดนามรายหนึ่ง ชื่อว่าเหงียน เซิน ตุง วัย 37 ปี อาศัยอยู่ในนครโฮจิมินห์ เขามีน้ำหนักตัวมากถึง 170 กิโลกรัม ซึ่งตามมาด้วยโรคที่น่ากลัวมากมาย ถึงขนาดพ่อแม่ของเขาต้องคอยเป็นกังวลในทุกวัน เพราะกลัวว่าเขาจะหยุดหายใจขณะนอนหลับ จนวันหนึ่งเขาตัดสินใจลุกขึ้นมาจริงจังกับการลดน้ำหนักอย่างมีวินัย และประสบผลสำเร็จอย่างน่าทึ่งในระยะเวลา 1 ปี เขาสามารถลดลงไปได้ถึง 75 กิโลกรัม

สาเหตุน้ำหนักขึ้น

         ก่อนหน้านี้ ตุงได้ไปศึกษาการแพทย์แผนตะวันออกในประเทศจีน กระทั่งเมื่อปี 2563 หลังจากเกิดการระบาดของโควิด 19 เขาก็กลับมายังเวียดนาม แต่ก็ไม่สามารถออกไปไหนหรือทำอะไรได้ ทำให้เขาติดนิสัยนอนดึกและนอนตอนกลางวัน และที่สำคัญเขาติดการกินขนมหวานมาก ทำให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้

สารพัดโรคที่ตามมา

         ตุงมีส่วนสูง 183 เซนติเมตร แต่น้ำหนักของเขากลับพุ่งสูงไปถึง 170 กิโลกรัม ร่างกายอ้วนท้วนพุงใหญ่ เขาไม่สามารถก้มตัวได้ เนื่องจากกระดูกสันหลังส่วนเอวเสื่อม และไขมันในช่องท้องมากเกินไป ทำให้เดินได้ยาก หรือลำพังแค่หายใจก็รู้สึกเหนื่อยมากแล้ว

         "หลายครั้งที่อาการของเขาย่ำแย่มาก จนพ่อแม่ของเขานอนไม่ได้ทั้งคืน เพราะกลัวว่าลูกชายจะหยุดหายใจ"

         บ่อยครั้งที่ตุงมีอาการเหนื่อยล้าและเวียนศีรษะ ผลการตรวจร่างกายพบสารพัดโรค ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันพอกตับ โรคข้อเสื่อม และความผิดปกติของการเผาผลาญ ส่งผลให้ภูมิต้านทานต่ำลง และทำให้เขาป่วยเป็นประจำ อีกทั้งความสามารถในการจำของตุงก็ลดลง

จุดพลิกผัน

         หลังจากใช้ชีวิตเช่นนี้มาประมาณ 3 ปี เขาเริ่มสังเกตว่าสุขภาพร่างกายของเขาเริ่มเสื่อมถอยลงมาก ประกอบกับพ่อแม่ก็อายุมากขึ้นจนไม่สามารถที่จะช่วยเหลือเขาได้เท่าเมื่อก่อน เขาจึงตั้งใจที่จะหันมาดูแลสุขภาพและลดน้ำหนักอย่างจริงจัง หลังจากตรุษจีนปี 2566 เขาก็ละทิ้งงานทั้งหมดในเมือง และเดินทางไปยังจังหวัดดั๊กลัก เพื่อเข้าคอร์สลดน้ำหนักอย่างเข้มข้นแบบ 24 ชั่วโมงกับผู้เชี่ยวชาญ



การเริ่มต้นยากเสมอ

         ร่างกายของตุงอยู่ในสภาพที่เลวร้ายมาก จนถึงขนาดไม่สามารถออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำได้ สิ่งที่เขาทำได้ในสระว่ายน้ำคือ การฝึกเดินและเกาะขอบสระไปเรื่อย ๆ จากนั้นก็เริ่มทำกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายอื่น ๆ เช่น ปั่นจักรยานและซิตอัพ จนเขาเริ่มว่ายน้ำได้บ้าง จึงเริ่มฝึกท่าฟรีสไตล์และท่ากบ เพื่อลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นและยังช่วยให้ผ่อนคลายและรู้สึกสบายตัว  

         ตุงเริ่มฝึกคาร์ดิโอเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ รวมถึงเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจ ร่วมกับยกน้ำหนักเพื่อลดไขมัน ในแต่ละวันเขาฝึกซ้อมวันละ 4-5 ชั่วโมง ในตอนแรกเขารู้สึกเหนื่อยล้ามาก อีกทั้งยังเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่โชคดีที่เขามีผู้เชี่ยวชาญคอยติดตามและดูแลอย่างใกล้ชิด

ควบคุมอาหาร

         ตุงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินใหม่ทั้งหมด งดกินจุกจิกเพื่อหลีกเลี่ยงระดับอินซูลิน รวมถึงน้ำตาลขัดสี และอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง เน้นโปรตีน ไขมันดี และผักผลไม้ เช่น สตรอว์เบอร์รี มันเทศ แครอต ถั่วลิสง และโยเกิร์ต เขาแบ่งเป็นกินมื้อเล็ก ๆ 6 มื้อ โดยใช้วิธีทำง่าย ๆ เช่น นึ่ง หรือต้ม ไม่ใช้น้ำมันหรือซอสปรุงรส และที่สำคัญไม่กินอาหารแปรรูป นอกจากนี้ เขายังฝึกการกินอาหารช้า ๆ โดยเคี้ยวให้ละเอียดมากก่อนกลืนเสมอ

ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้

         หลังจากร่างกายเริ่มปรับตัวได้ ตุงก็เริ่มเล่นกีฬาชนิดอื่นที่ยากขึ้น โดนตั้งเป้าหมายเพื่อท้าทายและเอาชนะตัวเอง จนกระทั่งเขาสามารถลดน้ำหนักจนเหลือ 105 กิโลกรัม แต่เขาไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขายังร่วมลงแข่งขันวิ่งมาราธอน 21 กิโลเมตร และวิ่งเทรล 35 กิโลเมตร จนเดือนเมษายนปีที่ผ่านมา น้ำหนักของเขาลดลงเหลือ 95 กิโลกรัม แถมยังสามารถเดินป่าพิชิตยอดเขาได้สำเร็จ  

         ในระยะเวลาเพียง 1 ปี ด้วยความพยายามและอดทน ตุงสามารถลดน้ำหนักได้มากถึง 75 กิโลกรัม และหลังจากฝึกฝนอย่างต่อเนื่องมาอีกเกือบปี เขาสามารถรักษาสภาพร่างกายและน้ำหนักให้คงที่ได้อยู่ที่ 95 กิโลกรัม โดยหลังจากจบหลักสูตรลดน้ำหนักพลิกชีวิตอันน่าทึ่งนี้ เขารู้สึกมีความสุขมาก และมีความตั้งใจที่จะช่วยผู้อื่นที่ตกอยู่ในสภาวะเช่นเดียวกันด้วย

         "การลดน้ำหนักคือการเดินทางเพื่อรักตัวเอง ด้วยการออกกำลังกายและมีวินัยในการกิน"

ขอบคุณข้อมูลจาก Soha